เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ม.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมนะ ธรรมะเป็นความจริง เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัจธรรม ถ้าเป็นธรรมชาตินะ ธรรมชาตินี่คนตั้งชื่อมัน แต่สัจธรรมมันเป็นความจริงในตัวมันเอง ถ้าธรรมชาติ เห็นไหม เราว่าสัตว์อยู่ในธรรมชาติ พอบอกธรรมชาติแล้วต้องยอมรับ เพราะธรรมชาติมันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราจะคอนโทรลมันได้

แต่ความจริงมันเหนือกว่านะ ธรรมชาติมันแปรปรวนไง เห็นไหม สิ่งที่แปรปรวนไปธรรมชาติ มันแปรสภาพของมัน โลกนี้เป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา พออนัตตาแล้วมันมีอะไรเป็นสาระล่ะ สาระของเราคือสิ่งที่ตกผลึกไง ความตกผลึก ความรับรู้ เวลาสุข เวลาทุกข์ เห็นไหม มันตกผลึกในหัวใจ สิ่งที่ตกผลึกในหัวใจนี่เทคโนโลยี ความรู้ของเรา

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เป็นครูคนแรกของโลก เป็นครูคนแรก ครูในสัจธรรมนะ เวลาโพธิญาณไง ความรู้จริงขึ้นมา สัจจะอันนี้มันเกิดขึ้นมา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ เห็นไหม

ธรรมชาติมันก็เป็นอันหนึ่งที่แปรปรวนอยู่แต่วิชาชีพของใคร เห็นไหม เราบอกว่าวันนี้เป็นวันครู วันครูนี่เป็นวันหยุดทางราชการของครูเขา วันครูเพราะอะไร เพราะราชการยอมรับ ความยอมรับอันนั้นเป็นกฎหมายให้เป็นวันหยุดทางราชการได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม

นี่เหมือนกัน ในทางพระเราอยากให้เป็นศาสนาประจำชาติ ให้รัฐธรรมนูญยอมรับ ให้มันมีตัวหนังสืออยู่ในกระดาษไง แต่ความประพฤติของคน ความประพฤติของพระล่ะ ศาสนาประจำหัวใจ เห็นไหม

ถ้าหัวใจมันเป็นธรรมขึ้นมา มันประจำใครล่ะ มันประจำในหัวใจของเรานะ เรารู้จริงขึ้นมาแล้ว มันเป็นความรู้สึกของเรา มันมีความเกรงกลัว มีความละอาย มันออกมาจากหัวใจ ออกมาจากความรู้สึก แต่ออกมาจากกฎหมายเป็นการบังคับ เห็นไหม เป็นการบังคับ ว่ากฎหมายบังคับต้องทำตามนั้น ทำตามนั้นมันทำแกนๆ ไง นี่โลกเป็นใหญ่

แต่ถ้าธรรมเป็นใหญ่นะ มันศาสนาประจำหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ ศาสนามันประจำใครล่ะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ครูคนแรกของเรานะ ครูคนแรกของมนุษย์คือพ่อแม่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย นี้เป็นครูคนแรกนะ ได้นิสัยมา ได้ความคุ้นชิน ได้ทรัพย์มาจากพฤติกรรม พฤติกรรมของสัตว์ สัตว์เห็นไหม ดูสิ สัตว์มันเลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ที่มันเลี้ยงลูกของมัน มันก็พฤติกรรมน่ะ พ่อแม่ของมันเป็นครูของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมา พ่อแม่เป็นครูของเราก่อนนะ แล้วไปศึกษาเล่าเรียนถึงมีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เห็นไหม เวลาเราไปโรงเรียน เป็นครูของเรา อาจารย์ของเรา แต่เวลาบวชพระขึ้นมา พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ครูจารย์เพราะอะไร เพราะเลี้ยงหัวใจด้วย

การศึกษาเรานี่ศึกษาทางวิชาการ นี่คนเก่ง แล้วคนดีล่ะ คนเก่ง คนดีเป็นอย่างไร คนดีนะมันดีมาจากหัวใจ คนเก่ง.. ความเก่งนี่เรียนได้นะ แต่คนดีนี่เรียนได้ยากมาก ความดีทำได้ยากมาก แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ เป็นครูคนแรกของโลก ครูคนแรกของศาสนาพุทธ ในโลกนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครู

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ความลังเลสงสัยใครจะสอนเรา นี่ไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ใจของเรา พุทธะในหัวใจเรานี่ครูของเรา ตัวเราเองสอนเราเอง เห็นไหม ตัวเราเองจะสอนเราเองในการประพฤติปฏิบัติ ตัวของเราเอง ปัญญาของเราเองจะสอนเราเอง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเป็นแนวทางไว้ เป็นทฤษฎี เป็นความรู้ที่เราศึกษามา เป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ

แต่ครูของเรา.. ใช่..เราเคารพครูบาอาจารย์นะ เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่พุทธมามกะ เราต้องถึงพระรัตนตรัย ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นชาวพุทธ เราถึงไง เราถึง เราคิดน่ะมันมีกรอบอันนี้

คำว่า “ถึง” เห็นไหม คิดถึงครูบาอาจารย์เราก่อน คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน สอนมาในศีล ในธรรม ถ้าเราคิดนอกกรอบ ถ้าเป็นธรรม เห็นไหม คิดนอกกรอบด้วยสัจธรรม นอกกรอบ.. ต้องเป็นนอกกรอบเพราะว่าถ้าเป็นในกรอบ มันเป็นเรื่องของกิเลสที่มันขีดเส้นไว้ให้ แต่นอกกรอบต้องเป็นธรรม

ถ้านอกกรอบเป็นธรรมนะ คิดนอกกรอบนะฆ่ากิเลสได้ ถ้าคิดในกรอบล่ะ ในกรอบนี้คือสัจธรรม คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางไว้ เห็นไหม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ สิ่งนี้เป็นปริยัติ แล้วปฏิบัติขึ้นมา มันจะเป็นสัจธรรมของเรา นี่ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เห็นไหม สิ่งที่สัจธรรมเกิดขึ้นมา

ถ้าสัจธรรม เห็นไหม มรรคญาณเกิด ปัญญาเกิด ปัญญามันเกิดอย่างไร ปัญญาที่เราศึกษามานี่ปัญญาของใคร ดูสิ ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นว่าปัญญาๆ มันปัญญาสำเร็จรูปไง มันเป็นสัญญา มันเป็นกรอบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ มันเป็นปัญญาของเราไหม?

ถ้ามันเป็นปัญญาของเรา ปัญญามันเกิดอย่างไร? ปัญญาที่เกิดมันเห็นความมหัศจรรย์อย่างไร? สัจธรรมมันเกิด มรรคญาณมันเกิดอย่างไร?

ธรรมจักร จักรที่มันหมุนน่ะธรรมจักร ไอ้นี่มันกงจักร! ปัญญาของเรามันกงจักรนะ คิดแล้วมันลังเลสงสัยไปหมด มันถอนรากถอนโคนเราเลยล่ะ มันลังเลสงสัยมันก็ขาอ่อน เห็นไหม มันเป็นกงจักรนะ ปัญญาเราปัญญากงจักรเพราะอะไร เพราะมันมีเราไง เพราะมันไม่เห็นคุณค่าของความสงบของใจ

ถ้าใจมันสงบขึ้นมา เราจะเกิดจากไหน เรามันมาจากไหน เราน่ะ เราก็เกิดจากทิฏฐิมานะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติได้ซักหนหนึ่ง จิตสงบซักหนหนึ่ง มันเห็นสัจธรรม สัจธรรม.. ธรรมเกิดไม่ใช่อริยสัจ! ไม่ใช่ธรรมะเกิด! สัจธรรมนะ สัจธรรม.. ธรรมเกิด เกิดธรรมก็คือจิตมันประสบ มันสัมผัส เห็นไหม ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด

เวลาความคิดเกิดขึ้นมา เราเสพความคิดเราเองนะ เราคิดด้วยปัญญาของเราแล้วเสพความคิด ซึ้งมาก ซึ้งมาก เห็นไหม ความคิดกับเราสัมผัสกัน อารมณ์ความรู้สึกสัมผัสกัน มันเป็นปัญญาหรือยัง มันสงบเข้ามาหรือยัง เพราะมันมีเราใช่ไหม พอเราสัมผัสไง เราสัมผัสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไปทึ่งนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทำศีล สมาธิ ปัญญา อู๊.. เป็นสมาธิ เป็นปัญญา คิดเอาเองหมดเลย เห็นไหม ความคิดกับเราไม่ใช่อันเดียวกัน

ความสัมผัสอันนั้น ความสัมผัสระหว่างมะนัสฺมิงปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโนคือตัวหัวใจ เห็นไหม ความเป็นพลังงานก็น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่สัมผัสก็น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่เกิด ผลจากการสัมผัสก็น่าเบื่อหน่าย เห็นไหม มันเบื่อหน่ายคลายกำหนัด วิราคะคลายตัวออกไป สิ่งที่เป็นปัญญาอย่างนี้มันเกิดอย่างไร? มันเป็นสัจธรรมอย่างไร?

นี่ไงสัจธรรม ตัวเราเองสอนเราเอง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั่งสมาธิภาวนา จิตมันสอนจิตนะ จิตแก้จิตแล้วจิตพ้นออกไป สิ่งนี้มันเป็นปัญญาของใคร มันมาจากไหน ถ้าไม่ทำไม่รู้ เราไม่ปฏิบัติ แล้วปฏิบัติก็ปฏิบัติโดยกรอบนะ โดยให้กิเลสมันหลอก ถ้ากิเลสมันหลอกมันจะชักนำเราไปอย่างนี้ สิ่งที่ชักนำเราไป เราจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เราก็ได้ประโยชน์ในการปฏิบัติบูชา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ

“อานนท์.. เธอบอกเขาเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสบูชาเลย”

แต่อามิสบูชานะเป็นเรื่องของทาน ดูสิ โลกเขายังทำกันลำบากลำบนเลย เวลาเสียสละขึ้นมา มันตระหนี่ถี่เหนียว เห็นไหม นี่อามิสบูชา แต่เราอามิสบูชาแล้วเราปฏิบัติบูชา การปฏิบัติบูชานะ เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาบูชานะ พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แก้วสารพัดนึก แต่จริงๆ แล้วนะพุทธะมันอยู่ที่ไหนล่ะ?

พุทธะมันอยู่ในหัวใจของเรา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มีความสงบขึ้นมา เห็นเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีน่ะเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นี่สมณะ การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔

สมณะมีระดับของความว่างขึ้นไป เห็นไหม ความว่างๆๆๆๆ น่ะ ว่างของใคร?

ว่างของเรานี่ว่างของปุถุชน ว่างของอากาศ ว่างโดยธรรมชาติไง อากาศแปรปรวนมีอะไร มันก็หมุนไปธรรมชาติของมัน ว่างของโสดาบัน โสดาบันอยู่ตรงไหน มันว่างเพราะอะไร? มันได้ชำระอะไร?

สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์มันขาดไป ๓ ตัว สิ่งที่มันอัดแน่นในหัวใจแล้วมันหลุดออกไป ๓ มันตัดมันชำระไปน่ะความว่างส่วนหนึ่ง เหมือน ๑ ใน ๔ ความว่าง แต่สิ่งที่ไม่ว่างในหัวใจอีกมหาศาลเลยแล้วทำอย่างไร มันว่าง ว่างสกิทาคามีน่ะว่างไป ๕o เปอร์เซ็นต์ ว่างของอนาคามี ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ว่างของพระอรหันต์ ๑oo เปอร์เซ็นต์ แล้วว่างใน ๑oo เปอร์เซ็นต์ ว่างแล้วมันยังมีขอบเขตมันอย่างไร ขอบเขตของพระอรหันต์อยู่ที่ไหน ขอบเขตของพระอรหันต์จะว่าความว่างของใคร

นี่ว่างๆ ว่างๆ ว่างอย่างนี้มันว่างแบบกิเลสไง ว่างแบบธรรมชาตินะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ว่างแบบแปรปรวนนะ เดี๋ยวก็ว่าง เดี๋ยวก็ไม่ว่าง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสก็เศร้าหมอง เศร้าหมองก็มีความเฉา มันก็ว่าง มันก็เวียนไปนั่นน่ะ ความว่างเวียนไปอย่างนี้มันเป็นความว่างของใคร? ความว่างของกิเลสใช่ไหม?

แต่ถ้าเป็นความว่างของอริยภูมิ มันว่างจริงๆ มันว่างแล้วกลับคืนไม่ได้ มันว่างคงที่ของมันอย่างนั้น ความว่างคงที่.. ความว่างคงที่เป็นอย่างไร ความว่างที่คงที่มันอยู่ในหัวใจ ความรับรู้อันนั้นมันรับรู้อย่างไร นี่ครูของเรา ใจมันเป็นเอง ใจสัมผัสกับใจเป็นนะ ใจสัมผัส ใจกับความคิด มรรคญาณน่ะ มรรคญาณ เห็นไหม สติ สมาธิ ปัญญา เกิดจากการกระทำ มันสัมผัส จิตสัมผัสเพราะอะไร?

เพราะเวลากิเลส ความคิดเรามันเหยียบย่ำหัวใจ แต่เวลาเกิดมรรคญาณขึ้นมา ธรรมจักรมันเข้าไปถอดถอน เข้าไปทำลาย เห็นไหม อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตผลทำไมถึงไม่เป็นนิพพานล่ะ อรหัตตผลทำไมไม่เป็นนิพพาน เพราะอรหัตตมรรค อรหัตตผล เห็นไหม ขณะที่ปัญญาที่คิดเหยียบย่ำนี่ปัญญากิเลส สัจธรรม สัจธรรมที่เกิดขึ้นมา ปัญญาของเรามันถอดถอนกิเลส ขณะที่มันถอดถอน..

ดูสิ เราถอนหญ้า เห็นไหม เรากำแล้วเราดึงขึ้นมา เราถอนหญ้าขึ้นมา มือเรากำนี่อรหัตตมรรค อรหัตตผลถอนหญ้าขึ้นมา หญ้าคืออวิชชา นี่อรหัตตมรรค อรหัตตผล วางหรือยัง วางหญ้า ปล่อยหญ้า ถอนขึ้นมาแล้วสลัดทิ้ง ล้างมือเรียบร้อย จบ สิ่งการกระทำมันพ้นออกไป เห็นไหม นิพพาน ๑ ไม่ใช่หญ้า ไม่ใช่มือ ไม่ใช่อรหัตตมรรค ไม่ใช่อรหัตตผล มันเป็นนิพพาน ๑ นิพพาน ๑ มันเป็นอย่างไร?

นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ครูของเรานะ สัจธรรมนี่เป็นครูของเรา พุทธะในหัวใจเป็นครูของเรา ครูนี่มันจะถอดถอนกิเลส ถอดถอนมาร ถอดถอนในหัวใจ เห็นไหม

จากข้างนอกนะ ข้างนอกต้องมีกฎหมายรองรับ ต้องมีการบังคับ เห็นไหม ไปวัดไปวากัน ไปวัดต้องมีศีล มีธรรม มีกฎระเบียบ มันเป็นเครื่องดำเนินนะ พระไตรปิฎกนี่เป็นวิธีการทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นเครื่องดำเนิน เป็นวิธีการเข้าไปหาเป้าหมาย เป้าหมายคือหัวใจที่มันเป็นจริงอันนั้น แล้วเป้าหมายอยู่ที่นี่ เห็นไหม คูหาของจิต อวิชชามันอยู่ในคูหา มันอยู่ในหัวใจ เราจะเข้าไปชำระมันอย่างไร? เราจะไปทำลายมันอย่างไร?

สิ่งที่การกระทำมันเป็นเงาหมดนะ อาการความคิดทั้งหมด ความคิดถ้ามันคิดโดยโลกียปัญญา มันเป็นความคิด เป็นวิชาชีพ เป็นความคิดโดยโลก โลกุตตรปัญญาต้องมีความสงบของใจ ถ้าใจสงบเข้ามา เห็นไหม คูหานั้นนะ เราหาถ้ำแล้วเข้าไปในถ้ำ ระเบิดถ้ำ ระเบิดสิ่งที่มันเป็นพญามารอยู่ในถ้ำ ระเบิดมันให้หมด ยิ่งระเบิด เห็นไหม ระเบิดแล้วมันทำลายหมด วัตถุที่มันระเบิดแล้วมันจะแหลกลาญไป

กิเลส อวิชชา นามธรรมนี่ยิ่งระเบิด มันยิ่งใส ยิ่งสะอาด เห็นไหม สะอาดขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งระเบิดเท่าไหร่ เราคิดกันในวัตถุ ถ้าสิ่งที่จะทำลายแล้วมันจะไม่มีที่อยู่อาศัย ทำลายแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน เพราะเราไปหวงแหนไว้ เราไปเลยหวงแหนกิเลส เพราะกิเลสมันเป็นอนุสัย มันมากับความคิด มันนอนเนื่องมา มันบวกมากับทุกๆ อย่างในหัวใจของเรา เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเยาะเย้ยมาร

“มารเอย.. เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดจากหัวใจของเราไม่ได้เลย”

ไม่ได้เลย เห็นไหม มารเอย เธอเกิดจากความดำริ เห็นไหม มันนอนเนื่องน่ะ เกิดจากความดำริ ความคิด การกระทำ มโนกรรม เห็นไหม มันนอนเนื่องออกมา แล้วมันมีมารนอนเนื่องออกมาตลอด เราชำระล้างมันหมดนะ เธอจะเกิดจากใจเราอีกไม่ได้เลย เห็นไหม เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว

แต่เราดำริถึงธรรม เวลาแสดงธรรมขึ้นมา นี่ธรรมะไง สัจธรรม มันเป็นธรรมธาตุที่มันไหลออกมาโดยธรรมชาติของมัน มันกระเพื่อมออกมา เป็นการสื่อความหมายกัน นี่คือสัจธรรมความจริง เห็นไหม สิ่งที่เป็นในหัวใจ เราเข้าไป มันนอนเนื่องมากับใจ เราทำของเรา เราปฏิบัติของเรา จะเป็นประโยชน์กับเรานะ

นี่วันครู ครูของโลกเขามันก็เป็นประโยชน์นะ การศึกษา โลกนี่แข่งขันกันด้วยวิชาการ แข่งขันกันด้วยความรู้ มันเป็นเรื่องของโลก เป็นวิชาชีพ มันต้องมี แต่โลกก็คือโลก โลกนี่สิ่งนั้นแก้กิเลสไม่ได้หรอก มันมีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความเผาผลาญหัวใจเพราะมันเป็นพลังงาน

แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามา มันเป็นพลังงานที่สะอาด พลังงานที่ไม่ใช่พลังงานฟอสซิลที่มันจะทำให้โลกร้อน เห็นไหม พลังงานสะอาด คือว่ามันร่มเย็นเป็นสุขของเราไง แล้วพลังงานนี้มันเป็นพลังงาน มันก็เกิด-ดับใช่ไหม พลังงานต้องทำถึงที่สุด มันถึงเป้าหมายแล้วมันจะเป็นประโยชน์ของเรา เอวัง